ประกาศยุทธศาสตร์อภิวัฒน์ปวงชนมดแดงล้มช้าง 2026

ว่าด้วยการอภิวัฒน์ปวงชน: ศักยภาพประชาชน ระบอบ และระเบียบโลกใหม่ (ฉบับวิเคราะห์ 2026)

ว่าด้วยการอภิวัฒน์ปวงชนมดแดงล้มช้าง: ศักยภาพประชาชน ระบอบ และระเบียบโลกใหม่ (ฉบับวิเคราะห์ 2026)

เรียบเรียงใหม่จากแนวคิดเดิมเมื่อปี 2554–2559 ให้สอดคล้องกับบริบทปี 2026 โดยเน้นการวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง บทบาทประชาชน และพลวัตภูมิรัฐศาสตร์ร่วมสมัย

1) การพัฒนาศักยภาพประชาชน: รากแก้วของการเปลี่ยนผ่านระบอบ

แก่นของการอภิวัฒน์ที่ยั่งยืน ไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนผู้นำ แต่อยู่ที่การเปลี่ยน “คุณภาพของประชาชนทั้งแผ่นดิน”

เมื่อมองย้อนจากประวัติศาสตร์การเปลี่ยนผ่านระบอบในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ไต้หวัน ชิลี หรือบางประเทศในยุโรปตะวันออก จะพบว่าความสำเร็จที่ยั่งยืนไม่ได้มาจาก “ผู้นำฮีโร่” เพียงคนเดียว แต่อยู่ที่ระดับศักยภาพของประชาชนจำนวนมากที่ค่อย ๆ สั่งสมกันมา ทั้งด้านความรู้ทางการเมือง ความเข้าใจสิทธิของตนเอง และความสามารถในการรวมตัวเคลื่อนไหวอย่างมีวินัย

ศักยภาพประชาชนในบริบทนี้จึงมิใช่เพียงการมีจำนวนมากหรือมีอารมณ์ร่วมเท่านั้น แต่รวมถึงความกล้าหาญที่จะไม่ยอมรับความอยุติธรรม การคิดวิเคราะห์จนมองเห็นกลไกที่กดทับอยู่เบื้องหลัง และการใช้ “ข้อได้เปรียบทุกอย่างที่มี” ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ภาษา เทคโนโลยี เครือข่ายสังคม เพื่อขยายพื้นที่ความจริงในทุกมิติของชีวิตสาธารณะ

ในยุคที่ข้อมูลข่าวปลอมและการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (information operations) ถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐและทุน การพัฒนาศักยภาพประชาชนจึงหมายถึง การสร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญา ให้สามารถแยกแยะระหว่างข่าวจริง ข่าวลวง และข่าวที่ถูกบิดเบือนเพื่อประโยชน์ของผู้มีอำนาจ เมื่อประชาชนจำนวนมากเข้าถึงระดับนี้ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างย่อมไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน

2) จากจุดแข็งของประชาชน สู่จุดอ่อนของเผด็จการ

ในระบอบเผด็จการสมัยใหม่ จุดอ่อนแท้จริงไม่ได้อยู่ที่อาวุธ แต่อยู่ที่ “ความชอบธรรม” และ “ความกลัวประชาชน”

ระบอบอำนาจนิยมไม่ว่าจะในเอเชีย ยุโรปตะวันออก หรือแอฟริกา มักมีรูปแบบคล้ายกันคือ มีการผูกขาดอำนาจรัฐ กองทัพ และทรัพยากรทางเศรษฐกิจไว้ในมือของกลุ่มเล็ก ๆ พร้อมทั้งอ้างความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย หรือสถาบันบางอย่างเพื่อสร้างภาพความชอบธรรมให้ตนเอง อย่างไรก็ตาม ระบอบแบบนี้มีจุดอ่อนเชิงโครงสร้างอยู่เสมอ นั่นคือ ไม่สามารถอยู่รอดได้หากปราศจากการยอมรับหรือยินยอมเชิงจำนนของประชาชนส่วนใหญ่

ตรงกันข้าม ฝ่ายประชาชนมีข้อได้เปรียบที่สำคัญอย่างน้อยสี่ประการ คือ

  • จำนวนและความหลากหลาย – ประชาชนส่วนใหญ่คือผู้แบกรับผลของนโยบายทุกอย่าง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิทธิมนุษยชน หากพวกเขาเห็นตรงกันว่าระบอบหนึ่งหมดความ正当性 ระบอบนั้นย่อมได้รับแรงกดดันมหาศาล
  • ฐานของความชอบธรรม – ในหลักการประชาธิปไตยสมัยใหม่ อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ภาครัฐและกองทัพมีหน้าที่รับใช้ มิใช่ยืนอยู่เหนือประชาชน
  • เครื่องมือสื่อสารยุคดิจิทัล – อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย ทำให้การผูกขาดข้อมูลของรัฐเสื่อมลงอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐจะพยายามจำกัด แต่ก็ไม่อาจควบคุมได้เบ็ดเสร็จเหมือนในศตวรรษก่อน
  • ชัยภูมิด้านความเห็นประชาคมโลก – ในโลกที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงยากจะถูกปิดบัง และแรงกดดันจากนานาชาติอาจกลายเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงในบางจังหวะ

การวิเคราะห์เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าการเปลี่ยนผ่านเป็นเรื่องง่าย แต่ชี้ให้เห็นว่า หากประชาชนสามารถใช้ข้อได้เปรียบเหล่านี้อย่างมีสติและเป็นระบบ จุดอ่อนของเผด็จการจะชัดเจนยิ่งขึ้น และเปิดพื้นที่สำหรับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีความหวัง

3) หลักสากล 4 ประการ: ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน สันติวิธี และความจริง

ระบอบที่ยั่งยืนต้องมีทั้ง “กลไกทางการเมืองที่ดี” และ “หลักศีลธรรมสาธารณะ” ที่รองรับอำนาจรัฐ

การอภิวัฒน์หรือการเปลี่ยนผ่านระบอบใด ๆ ที่หวังจะยืนยาวในศตวรรษที่ 21 จำเป็นต้องวางอยู่บนหลักสากลที่พิสูจน์แล้วในบริบทต่าง ๆ ทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือหลักประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงการเลือกตั้งที่ควบคุมได้ แต่คือระบบที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างสมเหตุสมผล มีการตรวจสอบถ่วงดุล และปกป้องเสียงข้างน้อย

หลักสิทธิมนุษยชนก็เป็นอีกเสาหลักหนึ่ง เพราะในระบอบที่มองประชาชนเป็นเพียง “ราษฎร” หรือ “ทรัพยากร” ของรัฐ ความรุนแรงสามารถถูกทำให้เป็นเรื่องปกติได้อย่างง่ายดาย การมีหลักสิทธิมนุษยชนในฐานะมาตรฐานขั้นต่ำในการปฏิบัติต่อกัน ทำให้แม้ในยามความขัดแย้ง ประชาชนก็ยังมองเห็น “เส้นที่ห้ามข้าม” เพื่อไม่ให้สังคมถลำไปสู่ความป่าเถื่อนแบบถอนตัวไม่ขึ้น

สันติวิธีและความจริงจึงเข้ามาเสริม–สอดประสานกัน สันติวิธีไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือการใช้อำนาจศีลธรรมและความ正当性 กดดันระบอบเก่าโดยไม่เปิดช่องให้เกิดสงครามกลางเมือง ส่วนความจริงคือพื้นที่ร่วมที่ทุกฝ่ายควรจะกลับมายืนบนมันให้ได้ ไม่ปล่อยให้ข้อเท็จจริงถูกแทนที่ด้วยคำโฆษณาชวนเชื่อจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว

4) การเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้าง: จากคนเลว สู่ระบบที่ผลิตความอยุติธรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าเห็นเพียง “ตัวละคร” แต่ไม่เห็น “เวทีและบท” การเปลี่ยนผ่านระบอบจะวนกลับมาติดกับดักเดิม

หลายสังคมเริ่มต้นจากความโกรธเคืองต่อผู้นำบางคน เจ้าหน้าที่บางกลุ่ม หรือองค์กรบางหน่วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปจึงตระหนักว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคลเท่านั้น แต่อยู่ที่โครงสร้างของอำนาจและสถาบัน ที่เปิดช่องให้การกดขี่และการเอารัดเอาเปรียบเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยแทบไม่ต้องเปลี่ยนชื่อผู้เล่นบนเวที

การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา ศาสนา สาธารณสุข และการต่างประเทศ ล้วนเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่ายระบอบ ที่มีทั้งกลไกอย่างเป็นทางการ (เช่น กฎหมาย รัฐธรรมนูญ ศาล กองทัพ) และกลไกไม่เป็นทางการ (เช่น เครือข่ายอุปถัมภ์ วัฒนธรรมการเชื่อฟัง หรือความเชื่อบางอย่างที่ไม่เปิดให้ตั้งคำถามได้)

การทำให้ประชาชนเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงไม่ใช่การชี้นิ้วไปที่ “คนเลว” เพียงรายบุคคล แต่คือการช่วยให้มองเห็นว่า เหตุใดคนในตำแหน่งเดียวกัน ถึงสามารถทำในสิ่งที่คล้ายกันได้ แม้จะเปลี่ยนตัวคนไปกี่รุ่นก็ตาม เมื่อมวลชนเห็นภาพเช่นนี้ชัดเจน การเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลง จึงจะไม่ติดอยู่แค่การสลับตัวบุคคล แต่รวมถึงการตั้งคำถามต่อโครงสร้างทั้งระบบด้วย

5) เงื่อนไขความพร้อมของการเปลี่ยนผ่าน: มวลชน ขบวนนำ สถาบันหลัก และบริบทโลก

การเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน ไม่ใช่เรื่อง “ใจร้อน” หรือ “ใจเย็น” แต่คือเรื่อง “จังหวะ” และ “ความพร้อมขององค์ประกอบ”

การศึกษาทฤษฎีการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยชี้ว่า ความสำเร็จมักเกิดขึ้นเมื่อองค์ประกอบสำคัญหลายอย่างเดินทางมาบรรจบกัน ไม่ว่าจะเป็นมวลชนที่มีทั้งปริมาณและคุณภาพ ขบวนนำที่มีวิสัยทัศน์และความชอบธรรม สถาบันหลักบางส่วนที่พร้อมจะปรับตัว รวมทั้งบริบทระหว่างประเทศที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง

มวลชนต้องพัฒนาจากการเป็น “ฝูงชนฉุกเฉิน” ที่เคลื่อนไหวเฉพาะเหตุการณ์ ไปสู่การเป็น “พลเมือง” ที่มีความสม่ำเสมอในการตั้งคำถามและปกป้องสิทธิของตนเอง ขบวนนำต้องหลีกเลี่ยงการกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจใหม่ที่ไม่ต่างจากระบอบเก่า ส่วนกองทัพและสถาบันหลักอื่น ๆ หากไม่มีการปรับตัวหรือยอมรับหลักการใหม่เลย การเปลี่ยนผ่านมักเผชิญกับความเสี่ยงสูงต่อความรุนแรง

ขณะเดียวกัน บริบทของระเบียบโลกใหม่ที่แบ่งขั้วอย่างชัดเจน ระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับระบอบอำนาจนิยม ทำให้การเลือกทิศทางของประเทศหนึ่ง ๆ ไม่ได้สะท้อนเพียงการจัดวางอำนาจภายในเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การลงทุน เทคโนโลยี และความมั่นคงในระยะยาวด้วย

6) ยุทธศาสตร์ “รับ–ยัน–รุก–รุกฆาต”: กรอบคิดสำหรับอ่านเกมการเปลี่ยนแปลง

กรอบคิดนี้อธิบาย “ลำดับชั้นของการเคลื่อนไหว” มากกว่าจะเป็นสูตรสำเร็จสำหรับลงมือปฏิบัติ

การแบ่งระยะเป็น “รับ–ยัน–รุก–รุกฆาต” ช่วยให้เข้าใจพลวัตทางการเมืองในระยะยาวได้ชัดขึ้น ระยะ “รับ” คือการสั่งสมทั้งองค์ความรู้ เครือข่าย และการเรียนรู้จากความผิดพลาด ระยะ “ยัน” คือการไม่ยอมถอยให้กับมาตรการหรือกฎหมายที่ละเมิดหลักพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ทั้งสองระยะนี้มักยืดเยื้อและอาจดูไม่หวือหวา แต่เป็นฐานรากสำคัญของการเปลี่ยนผ่านที่มั่นคง

ระยะ “รุก” คือช่วงที่ประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ เริ่มเสนอทางออก เริ่มสร้างพื้นที่ทางเลือก ทั้งในระบบและนอกระบบ ขยายการมีส่วนร่วม และเสนอรูปแบบการจัดระเบียบสังคมใหม่อย่างเป็นรูปธรรม หากผ่านระยะนี้ไปอย่างมีกลยุทธ์ ระยะ “รุกฆาต” จึงจะมาถึง ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีความรุนแรงทางกายภาพ หากแต่เป็นการยุติความชอบธรรมของระบอบเก่าในสายตาประชาชนส่วนใหญ่ และค่อย ๆ สถาปนาระบอบใหม่ที่ได้รับการยอมรับแทน

ในหลายประเทศ การ “รุกฆาต” เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ เมื่อกองกำลังความมั่นคงปฏิเสธที่จะเริ่มใช้ความรุนแรงกับประชาชน หรือเมื่อชนชั้นนำบางส่วนตัดสินใจเจรจาเปลี่ยนผ่าน เพราะมองเห็นว่าการดื้อดึงไปต่อจะมีราคาที่สูงเกินไป ทั้งต่อประเทศชาติและต่อกลุ่มตนเอง

7) พลังธรรม vs อธรรม: ทำไมสันติวิธีจึงสำคัญต่ออนาคตของประเทศ

ความสำเร็จที่แลกมาด้วยซากปรักหักพังและสงครามกลางเมือง มักทิ้งรอยแผลลึกที่รักษานานหลายทศวรรษ

ตัวอย่างจากพม่า ซีเรีย หรือบางประเทศในแอฟริกา แสดงให้เห็นอย่างเจ็บปวดว่า เมื่อความขัดแย้งทางการเมืองลุกลามไปสู่สงครามกลางเมือง สังคมต้องเผชิญกับความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และทุนทางสังคมอย่างที่ยากจะฟื้นคืน แม้ระบอบเผด็จการบางรูปแบบจะถูกโค่นล้มได้ แต่สิ่งที่ตามมาอาจเป็นระบอบที่สับสนวุ่นวาย หรือการสถาปนาอำนาจใหม่ที่แข็งกร้าวกว่าเดิม

ในทางกลับกัน การเคลื่อนไหวบนฐานสันติวิธีที่ชัดเจน แม้ใช้เวลานานกว่าและดูไม่สะใจ แต่มักสร้างรอยต่อที่ดีกว่าในการเยียวยา ฟื้นฟู และสร้างความไว้วางใจใหม่ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่คนจำนวนมากยังเป็นญาติพี่น้องกันอย่างแน่นแฟ้น และมีประวัติศาสตร์ร่วมกันยาวนาน

“พลังธรรม” ในที่นี้จึงไม่ได้หมายถึงศาสนาอย่างแคบ ๆ แต่หมายถึงการยืนหยัดบนหลักการที่มองเห็นความเป็นมนุษย์ของทุกฝ่าย และพยายามลดความจำเป็นในการใช้ความรุนแรงลงให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อไม่ให้การเปลี่ยนผ่านระบอบกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความแตกแยกที่ลึกกว่าเดิม

8) การมองฝ่ายตรงข้ามในฐานะ “มนุษย์ร่วมชาติ” แทน “ศัตรูที่ต้องทำลาย”

การอภิวัฒน์ที่เคารพศักดิ์ศรีของทุกชีวิต ย่อมมีโอกาสสูงกว่าที่จะไม่กลับไปผลิตความเกลียดชังรุ่นต่อรุ่น

ในทุกความขัดแย้งทางการเมือง มักมีคนจำนวนหนึ่งอยู่ในสภาวะ “สองจำเป็น” คือจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งเพื่อรักษาชีวิตและปากท้องของตนเอง และจำเป็นต้องอยู่ในโครงสร้างที่ตนไม่ได้เลือกเข้ามาอย่างเสรี หากการเปลี่ยนผ่านระบอบไม่เผื่อพื้นที่ให้คนกลุ่มนี้ได้กลับตัว หรือได้อธิบายสถานการณ์ของตน การสร้างสังคมใหม่ย่อมเต็มไปด้วยความระแวงและความแค้น

หลายประเทศที่สามารถผ่านการเปลี่ยนผ่านได้อย่างมั่นคง จึงใช้แนวทางที่เรียกว่า “ความยุติธรรมในช่วงเปลี่ยนผ่าน” (transitional justice) คือการจัดการกับความผิดในอดีตด้วยหลักการ ทั้งการแสวงหาความจริง การเยียวยา การให้อภัยในบางกรณี และการเอาผิดกับผู้สั่งการในระดับสูงตามหลักกฎหมาย โดยไม่ตีตราทุกคนในระบบเก่าให้กลายเป็น “ศัตรูของประชาชน” ทั้งหมด

มิติด้านจิตสำนึกและวัฒนธรรมจึงมีความสำคัญไม่แพ้มิติด้านกฎหมายและสถาบัน การยืนยันตัวตนของประชาชนในฐานะผู้เรียกร้องความถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่บนความปรารถนาจะทำลายล้างอีกฝ่ายจนหมดสิ้น แต่ตั้งอยู่บนการสร้างเงื่อนไขให้ทุกคนค่อย ๆ เดินออกจากอดีตที่อยุติธรรมด้วยกัน

9) “วันดีเดย์” ในความหมายใหม่: เมื่อความชอบธรรมเก่าหมดลงในใจผู้คน

ในมุมมองเชิงโครงสร้าง วันเปลี่ยนผ่านที่แท้จริงเริ่มจากการเปลี่ยนใน “จิตสำนึกของผู้คน” ก่อนจะปรากฏในถนนและรัฐสภา

“ดีเดย์” ในเชิงสัญลักษณ์มักถูกจินตนาการเป็นวันที่มวลชนออกมาชุมนุม แต่ในความเป็นจริง วันดังกล่าวมักเป็นผลลัพธ์ของกระบวนการยาวนานก่อนหน้านั้น ที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากค่อย ๆ ถอนความยินยอมเชิงจำนนออกจากระบอบ วันดีเดย์จึงไม่ใช่เพียงวันออกถนน หากแต่เป็นวันที่ประชาชนจำนวนมาก ไม่ยอมจ่าย “ความชอบธรรม” ให้กับอำนาจที่ตนเห็นว่าไม่ชอบธรรมอีกต่อไป

ในหลายกรณี การหยุดให้ความชอบธรรมอาจปรากฏในรูปแบบที่เงียบกว่า เช่น การปฏิเสธร่วมมือกับความอยุติธรรม การเลือกไม่เชื่อการโฆษณาชวนเชื่อ การตั้งคำถามต่อพิธีกรรมที่เคยเชื่อกันว่าต้องทำโดยไม่กล้าถาม หรือการสร้างพื้นที่ใหม่ที่แสดงให้เห็นว่าสังคมสามารถเดินไปอีกทางหนึ่งได้ โดยไม่จำเป็นต้องเดินตามแบบเดิม

เมื่อมองจากมุมนี้ การ “รุกฆาต” ต่อระบอบเผด็จการจึงไม่ใช่การล้มโดยฉับพลันเพียงวันเดียว แต่คือกระบวนการที่ทำให้ระบอบเก่าเหลือเพียง “เปลือกของอำนาจ” ที่ไม่มีหัวใจและไม่มีความยินยอมของประชาชนค้ำยันอีกต่อไป

10) ชัยชนะที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน: การแปร “ราษฎร” ให้เป็น “พลเมือง”

เมื่อประชาชนทำตัวสอดคล้องกับหลักการของการปกครองโดยประชาชนในชีวิตประจำวัน ชัยชนะเชิงโครงสร้างก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว

แนวคิด “มดแดงล้มช้าง” อาจถูกเข้าใจได้ในอีกระดับว่า คือการเปลี่ยนสถานภาพเชิงสำนึกจาก “ราษฎร” ที่รอรับคำสั่งจากผู้มีอำนาจ ไปสู่ “พลเมือง” ที่ตระหนักว่าตนเองคือเจ้าของอำนาจอธิปไตยร่วมกัน การเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะเวลามีการชุมนุมหรือเลือกตั้งเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในทุกช่วงเวลาที่ประชาชนตัดสินใจ:

  • ตั้งคำถามต่อข่าวสารและคำกล่าวอ้างของผู้มีอำนาจ
  • ตรวจสอบผู้แทนที่ตนเองเลือก และกล้ายอมรับเมื่อเลือกผิด
  • ร่วมปกป้องสิทธิของผู้อื่น แม้ตัวเองจะไม่ได้ถูกละเมิดโดยตรง
  • ไม่ปล่อยให้ความเกลียดชังบดบังความเป็นมนุษย์ของฝ่ายตรงข้าม

ชัยชนะที่แท้จริงของการอภิวัฒน์จึงอาจมองได้ว่า ไม่ใช่เพียงวันที่ระบอบเก่าถูกปลดออกอย่างเป็นทางการ แต่คือวันที่นิสัยการเป็นพลเมืองหยั่งรากอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมาก เมื่อถึงจุดนั้น แม้จะมีกองกำลังหรือกลไกใดพยายามหวนคืนสู่ระบอบเผด็จการ ก็จะเผชิญกับสังคมที่ “ไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ง่าย ๆ” อีกต่อไป

บทส่งท้าย: การอภิวัฒน์ในฐานะกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของทั้งสังคม

การมองการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองผ่านกรอบคิด “อภิวัฒน์ปวงชนมดแดงล้มช้าง” ในฉบับวิเคราะห์นี้ จึงมิได้เน้นการโค่นล้มฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเฉียบพลัน หากแต่มุ่งชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืนต้องอาศัยทั้งการยกระดับศักยภาพประชาชน การอ่านเกมโครงสร้างอำนาจอย่างเท่าทัน และการเข้าใจบริบทของระเบียบโลกใหม่ไปพร้อมกัน

ในท้ายที่สุด ความหวังของการอภิวัฒน์ไม่ได้อยู่ที่การมี “ฮีโร่” มาชี้นำเท่านั้น แต่อยู่ที่การทำให้ผู้คนจำนวนมากตระหนักถึงพลังของตนเองในฐานะพลเมือง และเลือกใช้พลังนั้นอย่างมีสติ มีความรับผิดชอบ และมองเห็นคุณค่าของมนุษย์ทุกฝ่ายในสังคมร่วมกัน

บทความนี้จึงอาจใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการสนทนา การศึกษา และการออกแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในอนาคต โดยเปิดพื้นที่ให้ความคิดที่แตกต่างได้แลกเปลี่ยนกันบนฐานข้อมูลและเหตุผล มากกว่าบนความกลัวหรือการโฆษณาชวนเชื่อเพียงด้านเดียว

No comments:

Post a Comment