คันฉ่องส่องไทย: 13 คำถามที่คนไทยควรถามเกี่ยวกับอำนาจและสถาบันกษัตริย์
บทความชุดนี้ไม่ได้เขียนเพื่อยัดเยียดคำตอบให้ใคร แต่ตั้งใจทำหน้าที่เป็น “คันฉ่อง” ให้คนไทยได้มองโครงสร้างอำนาจของบ้านเมืองอย่างตรงไปตรงมา ด้วยคำถามที่สุภาพ กึ่งวิชาการ และหวังดีต่อทั้งประชาชนและประเทศ
หมายเหตุ: ผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยทุกข้อ แต่หากคำถามเหล่านี้ช่วยให้เรากล้าคิด กล้าตั้งคำถาม และกล้าใช้ข้อมูลมากกว่าความเคยชิน ประเทศไทยก็ได้ก้าวไปอีกหนึ่งก้าวแล้ว
ถ้าไม่มี “อำนาจพิเศษ” ให้อ้างได้อีก – เรากลัวอะไรจริง ๆ ?
หากวันหนึ่งไม่มีใครอ้าง “อำนาจเหนือกฎหมาย” หรือ “อำนาจพิเศษ” ใด ๆ ได้อีกเลย และทุกคนต้องอยู่ใต้กฎหมายเดียวกันอย่างแท้จริง – เรากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น?
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยเต็มไปด้วยการอ้าง “ความมั่นคง” เพื่อให้บางกลุ่มมีอำนาจเหนือกฎหมาย ตั้งแต่รัฐประหารนับครั้งไม่ถ้วน ไปจนถึงการใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 และกฎหมายความมั่นคงอื่น ๆ ที่เปิดช่องให้ตีความกว้างเป็นพิเศษ แต่เมื่อเราลองตั้งคำถามกลับ:
- ถ้าไม่มีอำนาจพิเศษเหนือศาล เหนือรัฐสภา เหนือเสียงประชาชน – ประเทศจะ “พัง” หรือจะ “ปกติขึ้น” ?
- เรากลัว “ความวุ่นวาย” จริง ๆ หรือเรากลัว “การเปลี่ยนสมดุลอำนาจของคนไม่กี่กลุ่ม” ?
หากมองประเทศที่ลดบทบาทอำนาจพิเศษ เช่น สเปน ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ จะพบว่าไม่มีประเทศไหน “ล่มสลาย” จากการทำให้ทุกคนอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน แต่กลับสร้างเสถียรภาพระยะยาวได้มากขึ้น
อำนาจกษัตริย์มาจากไหน ทำไมเราต้องยอมรับ?
ในรัฐสมัยใหม่ อำนาจกษัตริย์มาจาก รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ “ฟ้าลิขิต” แต่เหตุใดเราจึงถูกทำให้รู้สึกว่า การตั้งคำถามต่อสถาบันเป็นเรื่องต้องห้าม?
หากอ่านประวัติศาสตร์อย่างเย็น ๆ จะพบว่า สถาบันกษัตริย์ในไทยไม่ได้ “อยู่เหนือรัฐ” มาแต่เดิม แต่อำนาจถูกออกแบบและขยายผ่าน:
- รัฐธรรมนูญที่ใช้วาทกรรม “องค์อธิปัตย์–พระราชอำนาจ”
- หลักสูตรการศึกษาที่สอนให้รักเจ้า แต่ไม่สอนให้ตั้งคำถามเชิงโครงสร้าง
- สื่อของรัฐ พิธีกรรม และการโฆษณาชวนเชื่ออย่างต่อเนื่อง
นักวิชาการอย่าง ธงชัย วินิจจะกูล และ Benedict Anderson ชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เรียกว่า “ราชาชาตินิยมไทย” ไม่ใช่ธรรมชาติ แต่คือผลผลิตของรัฐสมัยใหม่ ที่ใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นแกนในการควบคุมความคิดของประชาชน
คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า “อำนาจมาจากไหน” แต่คือ “เราได้เคยมีโอกาสเลือกอย่างเสรีจริง ๆ หรือไม่ ว่าจะยอมรับอำนาจนี้?”
คนไทยขาดกษัตริย์ไม่ได้จริงหรือ? – มองทีละมิติ
หากไม่มีสถาบันกษัตริย์ ประเทศไทยจะ “เดินไม่เป็น” จริงหรือ? ลองแยกทีละด้าน: การปกครอง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา และชีวิตประจำวัน
3.1 การปกครองและการเมือง
ประเทศที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ ล้วนไม่มีสถาบันกษัตริย์ แต่กลับสร้างรัฐสภา พรรคการเมือง และระบบตรวจสอบถ่วงดุลที่เข้มแข็ง ในขณะที่ไทยมีรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยมักอ้าง “สถาบัน” เป็นข้ออ้างทางศีลธรรม
3.2 เศรษฐกิจ
งานด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองพบว่า ประเทศที่ลดอภิสิทธิ์ชนกลุ่มน้อย และเพิ่มการตรวจสอบผู้มีอำนาจมักมี GDP ต่อหัว และคุณภาพชีวิตสูงขึ้นในระยะยาว ไทยกลับอยู่ในกับดักรายได้ปานกลางเป็นเวลาหลายสิบปี ทั้งที่มีทรัพยากรและศักยภาพทางภูมิศาสตร์สูง
3.3 สังคม วัฒนธรรม และการศึกษา
วัฒนธรรมไทยจำนวนมาก – เพลง ศิลปะ อาหาร ภาพยนตร์ – เติบโตจากความคิดสร้างสรรค์ของประชาชน ไม่ใช่พระราชโองการ ระบบการศึกษาก็เดินด้วยครู งบประมาณ และนโยบาย ไม่ใช่ด้วยรูปในหนังสือเรียนเพียงอย่างเดียว
3.4 ชีวิตประจำวันและระบบราชการ
เมื่อเราต่อใบขับขี่ รับวัคซีน ส่งลูกไปโรงเรียน ทำธุรกรรมกับธนาคาร เราปฏิสัมพันธ์กับ “ระบบราชการ–กฎหมาย–โครงสร้างพื้นฐาน” ไม่ใช่กับตัวบุคคลในราชวงศ์
หากแยกภาพลักษณ์ออกจากโครงสร้างจริง ๆ เราจะเห็นว่า สิ่งที่คนไทย “ขาดไม่ได้” อาจไม่ใช่กษัตริย์ แต่เป็นรัฐที่เป็นธรรมและระบบที่ทำงานจริง
ถ้าอำนาจกษัตริย์ลดลง หรือหมดไป – ใครได้ ใครเสีย?
คำตอบที่ถูกทำให้เชื่อคือ “กษัตริย์เสีย ประชาชนเสีย ประเทศล่มสลาย” แต่หากมองแบบโครงสร้าง ใครกันแน่ที่เสียประโยชน์มากที่สุด?
4.1 ใครได้ประโยชน์สูงสุด?
- ประชาชนส่วนใหญ่ – เมื่อทุกคนอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน ตรวจสอบได้มากขึ้น
- ประเทศชาติ – ลดช่องโหว่งบลับ งบที่อ้างสถาบัน แต่ไม่ต้องเปิดเผยรายละเอียด
- สถาบันเอง – หากลดบทบาททางการเมือง สถาบันจะไม่ถูกนักการเมืองใช้เป็นเครื่องมือห้ำหั่นกัน
4.2 ใครเสียประโยชน์สูงสุด?
- กลุ่มข้าราชการระดับสูงและรัฐราชการที่อาศัย “ความจงรักภักดี” เป็นทุนทางการเมือง
- กลุ่มทุนผูกขาดที่ได้รับสัมปทานหรือดีลพิเศษโดยใช้เครือข่ายทางสังคมที่อ้างสถาบัน
- กลุ่มการเมืองอนุรักษ์นิยมที่ใช้ “รักเจ้า–ไม่รักเจ้า” เป็นเครื่องมือแบ่งแยกประชาชน
เมื่อถามว่า “ใครเสียประโยชน์” อย่างซื่อ ๆ เราจะพบว่า ความกลัวการลดอำนาจสถาบัน มักไม่ได้มาจากประชาชนส่วนใหญ่ แต่มาจากชนชั้นนำที่มีอะไรต้องเสีย
“พระปรีชาสามารถ” ตรวจสอบได้แค่ไหน – มีหลักฐานอะไรบ้าง?
สิ่งที่ถูกสอนคนไทยคือ “ทรงพระปรีชาสามารถรอบด้าน” ตั้งแต่น้ำ ดนตรี กีฬา การแพทย์ การพัฒนา แต่คำถามเชิงวิชาการคือ – มีข้อมูลอะไรยืนยันได้บ้าง?
โดยหลักการแล้ว ความสามารถด้านวิศวกรรม เกษตร การจัดการน้ำ ฯลฯ ควรถูกตรวจสอบด้วยข้อมูล เช่น:
- มีเอกสารวิชาการอธิบายโครงการอย่างเป็นระบบหรือไม่?
- มีเปรียบเทียบก่อน–หลังอย่างเป็นตัวเลข (พื้นที่ชลประทาน ผลผลิต รายได้เกษตรกร) หรือไม่?
- มีกระบวนการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญอิสระที่ไม่อยู่ใต้ระบบอุปถัมภ์หรือไม่?
หากคำตอบส่วนใหญ่คือ “ไม่มีข้อมูลสาธารณะที่ตรวจสอบได้” เราก็ควรถามอย่างสุภาพว่า:
เราชื่นชมด้วยข้อมูล หรือเราชื่นชมด้วยเรื่องเล่าที่ถูกผลิตซ้ำจนกลายเป็น “ความจริงทางความรู้สึก” ?
ทำไมเส้นทางการศึกษาของราชวงศ์ จึงไม่สะท้อนภาพ “ความเป็นเลิศ” อย่างที่ถูกเล่า?
ในยุโรป เจ้าชาย–เจ้าหญิงจำนวนมากเรียนจบปริญญาตรี–โทจากมหาวิทยาลัยระดับโลก แต่ในไทย กลับพบว่ากษัตริย์และรัชทายาทหลายพระองค์ไม่ได้จบปริญญาในระดับเดียวกันกับคำยกย่องที่สังคมได้รับรู้
รัชกาลที่ 9 และพระราชินีสิริกิติต์ในรัชกาลก่อนก็ไม่ได้จบปริญญาตรีแบบที่คนทั่วไปคาดหวังจาก “ผู้นำสูงสุดของชาติ” ลูก ๆ หลายพระองค์ก็ไม่ได้มีผลงานทางวิชาการ หรือวุฒิการศึกษาในระดับที่สะท้อน “ความเป็นเลิศเหนือคนทั่วไป”
ยิ่งไปกว่านั้น ระบบการให้ปริญญากิตติมศักดิ์ในไทยและต่างประเทศ มักมีปัจจัยเรื่องการทูตและภาพลักษณ์แฝงอยู่ จึงเกิดคำถามว่า:
เราแยกออกหรือไม่ ระหว่าง “ความเกรงใจและการอวยเชิงพิธีการ” กับ “ความรู้และความสามารถที่พิสูจน์ได้จริง” ?
คนที่ประกาศว่าตน “จงรักภักดีเหนือใคร” – เขารู้ได้อย่างไร และได้อะไรตอบแทน?
ความรักเป็นสิ่งวัดไม่ได้ แต่ “ผลประโยชน์” วัดได้ เมื่อใครสักคนประกาศว่าตนรักเจ้ายิ่งกว่าคนอื่น – เราควรถามว่า เขาได้อะไรจากการประกาศเช่นนั้น?
งานศึกษาด้านรัฐศาสตร์ในระบอบอำนาจนิยมพบว่า “การแสดงความจงรักภักดี” มักเชื่อมโยงกับ:
- ตำแหน่งในระบบราชการและการเมือง
- การเลื่อนขั้น โอกาสรับตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการต่าง ๆ
- การคุ้มครองจากการถูกตรวจสอบในประเด็นอื่น
คำถามที่ยุติธรรมต่อทุกฝ่ายคือ:
ถ้าวันหนึ่ง “ความจงรักภักดี” ไม่ให้ผลตอบแทนใด ๆ เพิ่มเติมเลย – คนกลุ่มเดิมยังจะเสียงดังเท่าเดิมหรือไม่?
ทำไมต้องบังคับให้ยืนในโรงหนัง?
ถ้าเรารักจากใจจริง การนั่งอยู่เฉย ๆ ขณะเพลงสรรเสริญฯ ดังขึ้น จะทำให้ความจงรักภักดีนั้นหายไปจริงหรือ? หรือพิธีกรรมนี้มีหน้าที่ทางการเมืองมากกว่าทางศีลธรรม?
หลายประเทศที่เป็นราชอาณาจักร เช่น อังกฤษ สวีเดน หรือญี่ปุ่น ไม่มีการบังคับยืนในโรงหนังหรือลงโทษคนที่ไม่ทำพิธีกรรม การบังคับจึงสะท้อนความไม่มั่นใจในความสมัครใจของประชาชน มากกว่าความเข้มแข็งของสถาบัน
จากมุมจิตวิทยาการเมือง พิธีกรรมที่ถูกบังคับซ้ำ ๆ มีหน้าที่สำคัญคือ:
- สร้างความเคยชินจนกลายเป็น “ความปกติ” ที่ไม่มีใครกล้าฝืน
- ทดสอบว่าใคร “อยู่ข้างเดียวกัน” และใคร “กล้าแตกต่าง” เพื่อใช้เป็นสัญญาณทางการเมือง
ทำไมต้องมีซุ้ม ภาพ และงานเชิดชูยิ่งใหญ่ไปทั่วประเทศ?
ซุ้มเฉลิมพระเกียรติ ป้าย ภาพขนาดใหญ่ และงานเฉลิมฉลองที่ใช้งบประมาณมากมาย ทำหน้าที่เพียงสวยงามทางใจ หรือมีหน้าที่ด้านการเมืองแฝงอยู่ด้วย?
เมืองไทยมีรูป กรอบทอง ซุ้มหลวง และกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเต็มพื้นที่สาธารณะ ตั้งแต่สนามบิน ถนนหลวง สะพาน โรงเรียน ไปจนถึงหมู่บ้านห่างไกล
แม้ตัวเลขงบประมาณที่แท้จริงมักไม่โปร่งใส แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ:
- งบเหล่านี้แทบไม่ถูกตั้งคำถามในสภาอย่างจริงจัง
- ไม่มีระบบติดตามผลประโยชน์เชิงสังคมหรือเศรษฐกิจอย่างจริงจัง เช่น ถามว่าซุ้มหนึ่งซุ้มช่วยอะไรคนจนหรือระบบสาธารณสุขได้แค่ไหน
คำถามเชิงโครงสร้างคือ: ถ้าเราแปลงงบประมาณเชิงสัญลักษณ์เหล่านี้ ไปเป็นงบโรงพยาบาล โรงเรียน หรือระบบขนส่งสาธารณะ คนไทยจะได้ประโยชน์มากกว่าหรือไม่?
ทำไมต้องบริจาคผ่านกษัตริย์ – โปร่งใสแค่ไหน?
การบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย หรือ “เสด็จพระราชกุศล” ดูงดงามและน่าประทับใจ แต่ในฐานะเจ้าของภาษี เรามีสิทธิ์ถามหรือไม่ว่า เงินเหล่านั้นไหลไปอย่างไร?
ในทางหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย ผู้นำทุกคน – นายกฯ รัฐมนตรี ผู้ว่าฯ ต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและการเงิน เพื่อให้สังคมตรวจสอบ แต่เมื่อเงินบริจาคจำนวนมากไหลผ่านชื่อของสถาบันกษัตริย์:
- ไม่มีการเปิดบัญชีสาธารณะอย่างละเอียด
- ไม่มีระบบตรวจสอบโดยองค์กรอิสระอย่างแท้จริง
- ไม่มีรายงานแบบที่นักการเมืองต้องยื่น
คำถามที่สุภาพแต่สำคัญคือ: เหตุใด “ผู้นำสูงสุด” ของชาติ จึงเป็นคนเดียวที่ไม่ถูกบังคับให้เปิดเผยข้อมูลทางการเงินอย่างละเอียดต่อประชาชน?
ทำไมจึงวิจารณ์สถาบันไม่ได้เลย – ทั้งที่ความมั่นคงจริงต้องทนคำวิจารณ์ได้?
ระบอบที่มั่นคงที่สุดในโลก ไม่ใช่ระบอบที่ไม่มีใครกล้าวิจารณ์ แต่คือระบอบที่ทนต่อคำวิจารณ์ได้ และใช้คำวิจารณ์มาปรับปรุงตนเอง
ในอังกฤษ ญี่ปุ่น สเปน – สื่อมวลชน นักวิชาการ และประชาชน สามารถตั้งคำถามและวิจารณ์บทบาทของสถาบันกษัตริย์ในระดับหนึ่งได้โดยไม่ต้องกลัวโทษจำคุกยาวนาน แต่ในไทย ความพยายามวิจารณ์มักถูกตีความเป็นการ “ล้มล้าง” ทันที
หากสถาบันมั่นคงและมีความชอบธรรม (legitimacy) สูงจริง การยอมรับทั้งคำชมและคำวิจารณ์อย่างสงบเยือกเย็น ย่อมทำให้สถาบันน่าเคารพมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง
การห้ามวิจารณ์อย่างเด็ดขาด บอกเรากลาย ๆ ว่า “อำนาจนี้ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตัวเอง จนต้องปิดปากประชาชน”
เมื่อมีเหยื่อจากความป่าเถื่อนของมาตรา 112 – ทำไมกษัตริย์ไม่เคยปรากฏบทบาทในการเยียวยา?
ถ้ามาตรา 112 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ “ชื่อของพระมหากษัตริย์” เมื่อมีคนจำนวนมากต้องติดคุก ถูกคุมขังระยะยาว หรือไม่ได้สิทธิประกันตัว คำถามคือ – สถาบันมีท่าทีอย่างไรต่อความทุกข์ของประชาชนเหล่านี้?
ข้อมูลจากองค์กรสิทธิและผู้ติดตามกฎหมายชี้ว่า:
- มีคดี 112 จำนวนมากหลังปี 2557 และเพิ่มสูงหลังปี 2563
- โทษจำคุกขั้นต่ำ 3–15 ปีต่อข้อหา ทำให้คดีหนึ่งคดีสามารถเป็นโทษรวมที่ยาวมาก
- หลายคนไม่ได้สิทธิประกันตัว ทั้งที่ยังเป็นผู้ถูกกล่าวหา ไม่ใช่ผู้กระทำผิดโดยคำพิพากษาถึงที่สุด
ในมุมมนุษยธรรม หากชื่อของพระองค์ถูกใช้ในกฎหมายที่สร้างความทุกข์ทรมานแก่ประชาชนจำนวนมาก การนิ่งเฉยต่อความอยุติธรรมย่อมถูกเห็นว่าเป็นการยอมรับโดยปริยาย
คำถามง่าย ๆ แต่ลึกมากคือ: ถ้ากษัตริย์ทรงรักประชาชนจริง – เหตุใดจึงไม่มีการเรียกร้องให้ปฏิรูปหรือยกเลิกกฎหมายที่ทำร้ายประชาชนในนามของพระองค์?
เราอยากได้ประเทศไทยแบบไหนกันแน่?
ปลายทางของคำถามทั้ง 12 ข้อ ไม่ได้อยู่ที่ “รักเจ้า–ไม่รักเจ้า” แต่อยู่ที่ว่า – เราต้องการประเทศที่ประชาชนทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน หรือประเทศที่บางคนอยู่เหนือกฎหมายตลอดไป?
ถ้าเราเชื่อว่าคนไทยเป็นเจ้าของประเทศ – ย่อมไม่มีใครอยู่เหนือการตั้งคำถามของประชาชน ถ้าเราเชื่อว่าประชาธิปไตยคือระบอบที่ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ – ย่อมไม่มีใครได้รับ “ใบอนุญาตทางศีลธรรม” ให้ทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องถูกตรวจสอบ
สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องตระหนักคือ คำถามไม่ใช่อาวุธทำลายชาติ แต่คือยารักษาชาติ
คำถามที่อยู่ในบทความนี้อาจทำให้ใครบางคนไม่สบายใจ แต่ความไม่สบายใจจากการเผชิญความจริง เป็นคนละอย่างกับความเกลียดชังหรือการล้มล้างอย่างมุ่งร้ายหรือไร้สติ
ประเทศไทยจะเข้มแข็งขึ้นในวันที่คนไทยสามารถตั้งคำถามเช่นนี้ได้ โดยไม่ต้องกลัวคุก กลัวตราหน้า หรือกลัวถูกทำลายชีวิต และในวันที่อำนาจทุกระดับ – รวมถึงอำนาจสูงสุด – กล้าหันหน้ามาตอบคำถามเหล่านี้ด้วยข้อมูล เหตุผล และความรับผิดชอบ
หากคำถามชุดนี้ทำให้ท่านหงุดหงิด ให้ลองถามตนเองอีกชั้นหนึ่งว่า: ท่านไม่สบายใจเพราะคำถาม “ไม่จริง” หรือเพราะคำถาม “จริงเกินไป” สำหรับสภาพโครงสร้างอำนาจที่เราคุ้นชิน?
หากท่านอยากศึกษาเพิ่มเติม ผู้อ่านที่สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมจากงานของนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์ไทย เช่น ธงชัย วินิจจะกูล, พวงทอง ภวัครพันธุ์, ใจ อึ๊งภากรณ์, Benedict Anderson, Andrew Walker ฯลฯ เพื่อเปรียบเทียบมุมมองและข้อมูลอย่างรอบด้าน


No comments:
Post a Comment